ท่องเที่ยวหนีลมร้อนไปเมือง เจียงใหม่ วันที่ 1
ท่องเที่ยวหนีลมร้อนไปเมือง ‘เจ้า’ กับการเดินทางที่เริ่มต้นด้วย นครชัยแอร์ เที่ยว กรุงเทพ – เชียงใหม่ เวลา 20.30 น ของวันที่ 8 ตุลาคม 2010 เปิดการเดินทางด้วยเวลานั่งรถทัวร์ ให้ตูดชา ถึง 9 ช.ม. (ตอนแรกจะไปรถไฟตู้นอน ของการทางรถไป ออกเดินทาง 6 โมงเย็น ถึง 7 โมงเช้า (เดินทาง 12-13 ช.ม.) แต่เนื่องจากเต็มเลยทุกตู้ เลยได้มารถทัวร์นครชัยแอร์แทน) ทำเอาเมื่อยไปตามๆ กัน นอนแล้วนอนอีก ดูหนังแล้ว (บนรถเปิดหนังเรื่อง เราสองสามคน) บนรถมีให้ของกินเยอะมาก ราคา เดินทางคนล่ะ 605 บาท ถ้วน ได้ทั้ง ข้าวกล่อง ของว่างตอนดึก น้ำ นม เลย และน้ำผลไม้มากมายจริงๆ หลังจากรถเดินทาง ก็เริ่ม ท่องเที่ยว หนีลมร้อน ไป เจียงใหม่ วันที่ 1 อย่างเป็นทางการ
หลังจากการเดินทางไปเชียงใหม่ใช้เวลาถึง 9 ช.ม. ผ่านไป และแล้วการเดินทางก็ไปลงที่ท่ารถเชียงใหม่ (ท่ารถอาเขต) ถึงด้วยความเช้ามาก เมื่อยขามากกก (ถ้านั่งรถทัวร์จะไวกว่า แต่เมื่อยขา แต่ถ้านั่งรถไฟจะนานกว่าแต่ได้นอน ถ้านั่งเครื่องบินไวสุด แต่แพงสุด) แต่การเดินทางที่แท้จริงยังไปจบแค่นั้น นี่แค่การเริ่มต้นเท่านั้น
เมื่อออกจากอาเขต ก็หารถแดง เพื่อเดินทางไปหาข้าวเช้ากิน และเข้าที่พัก “รถแดง” เป็นรถที่ใช้เดินทาง และมีรอบเมืองเชียงใหม่เลย ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 15-20 บาท ในการเดินทางไปที่ต่างๆ แต่เนื่องเราพึ่งมาครั้งแรก ก็เลยเหมารถไปร้านโจ๊กชื่อดังของเชียงใหม่ “โจ๊ก สมเพชร” ที่เคยอ่าน review ใน internet โดยเสียค่าเดินทางมา 100 บาทในการมากินที่นี่ สั่งแบบไม่ยั้ง ข้าวต้มทะเล โจ๊กทะเล ติ๋มซำ ฮาเก๋า ขนมจีบ มากมาย จัดไปมากมายจิงๆ โดนไป 270 บาท เล่นเอามากมายจริงๆ (เป็นข้าวต้ม โจ๊กที่แพงจริงๆ ชามล่ะ 50 บาท )
เมื่อกินอิ่ม (รึเปล่า) ก็ไปเข้าที่พักตามที่ได้โทรไปจองไว้ เพื่อเก็บของและเตรียมตัวไปเที่ยวต่อ สถานที่พัก คือ Kalare Night Bazaar Guesthouse เนื่องจาก trip นี้หลายวันอยู่แถมมาไกลเลย save นิสนึงโดยการไม่พักโรงแรม แต่มาลงที่ guesthouse แทน กับราคา คืนล่ะ 500 บาท แถม นวด spa หรือ ปลา spa 45 นาที (ถ้าใครจะมาพักที่นี้ต้องโทรถาม โปรโมชั่นก่อนนะ เค้ามีโปรโมชั่นบ่อยๆ ตามช่วงเวลา)
ภารกิจแรกเสร็จไปแล้ว รีบคว้าแผนที่ (map) ประจำเมืองเชียงใหม่ที่อยู่ตรงหน้าที่พัก (อันนี้สำคัญมากเป็นอุปกรณืเที่ยวที่สำคัญมากขาดไม่ได้เลย แนะนำว่าให้หยิบมาอย่างน้อย 2 อัน , 1อันใช้ อีก 1 อันเก็บไว้สำรอง เพราะ ถ้าฝนตก เปียก ขาด หรือ ลมพัดหายไปเราจะแย่ หลงทาง และเครียดด) ต่อไปก็หา อุปกรณ์ การเที่ยว เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยถ้าขาดไปการเดินทางเที่ยวจะลำบากมาขึ้น 40% นั้นคือ “การเช่ารถ” ในที่นี้ แนะนำว่าให้เช่า มอเตอร์ไซด์ จะแจ่มมากกกกก เวลาขับ ลมเชียงใหม่หนาวๆ ตีหน้าสนุกจริงๆ แนะนำให้ไปเช่าที่ร้าน เจ้าของร้านใจดี ค่าเช่า อยู่ที่ ประมาณ 150-200-250 สำหรับรถเล็ก/เกียร์ธรรมดา – รถขนาดกลางเกียร์ auto – รถใหญ่ เครื่องแรง ตามลำดับ ยังไงลองสอบถามดู ที่ร้าน กำแพงดิน รถเช่า อยู่ตรง ถนน Thapae S.1 Rd. ใกล้ๆ กับ Kalare Night Bazaar เดินไปไม่ไกล
และแล้วเราก็ได้ Fino สีฟ้ามา แจ่มมากกกก ด้วยราคา 150 บาท ต่อวัน และ วางเงินมัดจำไว้ 2000 เราก็ได้รถ Fino ออกไปแว้นรอบเชียงใหม่กันแล้ววว
ที่แรกของ trip นี้ขาดไม่ได้ อยากไปมานานแล้ว คือ Iron bridge (สะพานเหล็ก) หรือ เรียกอีกอย่างที่โด่งดัง คือ สะพานเพื่อนสนิท นั้นเอง เพราะ สะพานนี้เป็นจุดที่นางเอกซ้อนท้ายพระเอกกลับบ้านในเรื่อง ใครเอามอเตอร์ไซด์มาอย่าลืมมาซ้อนท้ายถ่ายรูป ที่สะพานนี้นะ ^^
เมื่อเจอแดดแรงไปจะเหงื่อออก แดดร้อน หน้าเกือบจะดำแล้ว ก็ได้เวลาไปกินอาหารเหนือ ของคนเหนือแต้ๆ ที่ๆ จะไปคือ ร้านข้าวซอย เสมอใจฟ้าฮาม ร้านนี้พี่ร้านให้เช่ารถแนะนำมา ว่าถ้าอยากกินอาหารเหนือให้มาที่นี่ และก็ โดนไป 270 บาท เน้นๆ สั่งมาเยอะมาก แน่นอน ข้าวซอยขาดไม่ได้ ใครชอบเผ็ดๆ ขนมจีนเลยยยย และที่ขาดไม่ได้ แคปหมู น้ำพริกหนุ่ม
เมื่อ รถพร้อม ท้องอิ่ม ก็ออกภาคสนามต่อด้วยการถ่ายรูปที่ต่างๆ เริ่มต้นด้วย วัดข้างๆร้านอาหาร วัดฟ้าฮาม อยู่ใกล้ๆ ร้านฟ้าฮาม (Fah Harm) เลย เดินไปนิดเดียว
แล้วก็ ขับรถเข้ามาในประตูเมือง ไปยังอนุเสาวรีย์ 3 กษัติย์ เป็นสถานที่ ศักษ์สิทธ์แห่งแรกที่มาในเชียงใหม่และอย่าลืมเข้าไปในหอศิลปวัฒนธรรม เมืองเชียงใหม่ (Chiang Mai City Arts & Cultural Centre) นะครับ ข้างในมีอารายๆให้ดูอีกเยอะ และมีอารายให้เล่นด้วย ค่าเข้า 20 บาทต่อคน
นี่คือ “ตุง” (Tung) ของขึ้นชื่อ ของเมืองเหนือ มักทำกันในวันเทศกาลสำคัญต่างๆ หรือ งานต่างๆที่จัดขึ้น วิธีทำไม่ยากเลย อาศัยการพับ การตัด แต่จะออกมาสวยไม่สวย อยู่ที่แต่ล่ะคนแล้วววววว ที่ใน หอศิลปวัฒนธรรม เมืองเชียงใหม่ (Chiang Mai City Arts & Cultural Centre) เค้ามีสอนด้วย อย่าลืมแวะไปเล่น ที่ห้อง Lanaan wisdom room เค้าสอน วันอังคารถึง วันอาทิตย์ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นเท่านั้น
จากนั้นก็ไปวัด วัดพระสิงห์ วัดนี้ก็เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดนึ ที่ต้องมาให้ได้ มาแล้วก็มาไหว้พระถ่ายรูป รับบุญกันไป กบ Trip เจียงใหม่
วัดถัดมาตามด้วย วัดพันอ้น และ ตามด้วย วัดศรีเกิด เดินกันให้เต็มที่……….
จริงๆมีอีกหลายัด แต่ไม่ไหวแล้วววววววว ขาจาลากเอา แต่ด้วยแรงฮึด ขออีกวัดนึง ไปจบที่ วัดเจดีย์หลวง วัดนี้ไหว้ข้างหน้าแล้ว อย่าลืมเดินเข้าไปไหว้ข้างหลังด้วยจะมีเจดีย์ใหญ่ๆตั้งอยู่ ถ้าไปวันที่ ฟ้าใส ล่ะก็ถ่ยรูป แจ่มมากกกกกกกกกก
เห็นไหมครับ ถ้าเราไม่มีรถ และจะโบกรถเอง เราอาจเดินทางลำบากกว่านี้ ไม่ก็อาจได้ไปน้อยกว่านี้ และที่สำคัญ เราอาจไม่ได้ไปร้าน iberry ของ คุณ โน๊ต อุดม แต้พานิช นั้นเอง ร้านของเค้า อยู่ ถนน นิมานวดี ซอย 17 เข้าไป ประมาณกลางๆ ซอย มองป้ายเหลืองๆ ให้ดีๆนะครับ จะเห็น ป้ายขนาดใหญ่มากกกกกกกกก (ประชด) แล้วพอเลี้ยวตามป้ายเข้าไปก็จะพบร้านเค้า ที่ตกแต่ง ได้ Art มากกกก
มาคราวนี้ ด้วยเหตุอะไร ไม่รู้ ได้เจอกับเจ้าของร้านด้วย คุณ โน๊ต อุดม แต้พานิช และเค้าก็ดูเป็นกันเองจริงๆ แทบไม่ต้องขอถ่ายรูป เดินมาถ่ายด้วยกันเลย และ ด้วยความประทับใจนั้นเอง โดน ของฝากของร้านเค้าไป 1800 บาท เล่นเอาจุกเหมือนกัน ตอนซื้อไม่ได้คิด เพราะอารายๆ ก็น่ารัก แต่หลังจ่ายตังค์ ก็นะ…..
เมื่อซื้อของ ถ่ายรูปเสร็จ จะกลับ ฝนตกหนักซะงั้น เล่นเอาคนที่นั่งนอกร้านเข้ามาในร้านกันหมดเลย ทีมงาน Iberry ก็บริการดีจริงๆ รีบเอาเก้าอี้ โต๊ะ มาเช็ดแล้วให้ลูกค้ามานั่งในร้านกัน จนฝนหยุดตก ตอนนี้เห็นภาพความสามัคคี ความมีน้ำใจของคนไทยมากมาย จากนั้นพอฝนหยุดแล้ว ประมาณ เกือบ 4ทุ่ม เราก็เดินทางกลับที่พักเพื่อพักผ่อน
แต่ก่อนกลับ แวะไปเดินถนน Wua Lai Rd. (Walking Street Saturday) เป็นเหมือนถนนคนเดิน แต่ตรงนี้ จะมีเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น ถ้ามาวันเสาร์ แนะนำว่าให้มาเดินเล่นที่นี่ก่อนแล้ว วันต่อไปค่อยไปถนนคนเดิน (Ratchadammoen Rd. (Walking Street Sunday))
หลังจากเดินเสร็จ ได้เสียตังค์แล้ว ก็ แวะกินข้าวข้างๆโรงแรม อันนี้มื้อเบาๆ กันหิวตอนดึก แต่ราคาไม่ค่อยเบาเลย เป็นราคา ห้างนิสๆ ที่พอรับได้ จัดไป 2 จาน แล้ว ขึ้นอาบนํพักผ่อน จบกิจกรรม ท่องเที่ยว หนีลมร้อน ไป เจียงใหม่ วันที่ 1 พรุ่งนี้ลุยต่อวันที่ 2 ….
อ่านต่อ ท่องเที่ยวหนีลมร้อนไปเมือง ‘เจ้า’ ……. ที่ เจียงใหม่ วันที่ 2
อ่านต่อ ท่องเที่ยวหนีลมร้อนไปเมือง ‘เจ้า’ ……. ที่ เจียงใหม่ วันที่ 3